ในการประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ มีตัวชี้วัดที่สำคัญสองตัว ได้แก่ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ซึ่งทั้งสองมีความหมายและบทบาทที่แตกต่างกัน
🦾 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) – วัดประสิทธิภาพการผลิต
อัตรากำไรขั้นต้นเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้เราเห็นว่าบริษัทสามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด โดยคำนวณจากรายได้ที่ได้รับ หักด้วย ต้นทุนสินค้าที่ขาย (Cost of Goods Sold – COGS) ซึ่งรวมเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิต เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน และค่าดำเนินการผลิต
อัตรากำไรขั้นต้นที่สูง หมายความว่าบริษัทสามารถผลิตสินค้าได้อย่างคุ้มค่า ใช้วัตถุดิบและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากอัตรานี้ต่ำ อาจสะท้อนถึงต้นทุนที่สูงขึ้น หรือปัญหาในการบริหารจัดการต้นทุน
💰 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) – วัดประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัท
ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นโฟกัสที่ต้นทุนการผลิตเพียงอย่างเดียว อัตรากำไรสุทธิ จะคำนึงถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าการตลาด ค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี และดอกเบี้ยเงินกู้
อัตรากำไรสุทธิเป็นตัวสะท้อนภาพรวมของสถานะทางการเงินของบริษัท ว่าธุรกิจสามารถทำกำไรได้จริงหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือไม่ หากตัวเลขนี้ต่ำหรือเป็นลบ แสดงว่าบริษัทอาจมีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีรายได้ไม่เพียงพอในการทำกำไร
✨ สรุปความแตกต่าง
- อัตรากำไรขั้นต้น = โฟกัสที่ “ต้นทุนการผลิต” → บอกว่าเราผลิตสินค้าได้คุ้มค่าหรือไม่
- อัตรากำไรสุทธิ = คำนึงถึง “ค่าใช้จ่ายทั้งหมด” → บอกว่าธุรกิจทำกำไรจริงได้แค่ไหน
แม้ว่าธุรกิจจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี แต่หากมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สูงเกินไป อัตรากำไรสุทธิอาจต่ำหรือขาดทุนได้ ดังนั้นทั้งสองตัวชี้วัดนี้จึงต้องพิจารณาร่วมกันเสมอ
การเข้าใจความแตกต่างของ Gross Profit Margin และ Net Profit Margin จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินศักยภาพและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้มากขึ้น 💡
*ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
#FinVest #YourWingsYourWays