PRINCIPAL GHEALTH ผสมผสานการลงทุนในกลุ่ม Healthcare อย่างกลมกล่อม

PRINCIPAL GHEALTH ผสมผสานการลงทุนในกลุ่ม Healthcare อย่างกลมกล่อม

PRINCIPAL GHEALTH กองเก่าแต่ขอเล่าใหม่

เดิมที กองทุน PRINCIPAL GHEALTH ลงทุนใน Baillie Gifford Health Innovation Fund และ Credit Suisse Digital Health Equity Fund โดยที่ทั้งสองกองทุนเน้นลงทุนใน Healthcare Innovation เป็นหลัก

การลงทุนใน Healthcare Innovation ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงแต่แลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน อาจจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง

นั่นทำให้ทางบลจ. พรินซิเพิลเอง ปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่อย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์ พร้อมสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่าด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่า

ซึ่งกองทุนที่ทาง PRINCIPAL เฟ้นหากมาในคราวนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกองทุนกลุ่มดั้งเดิม Traditional Health Care อย่าง AB International Healthcare Fund และกองทุนกลุ่มการแพทย์ล้ำสมัย Healthcare Innovation อย่าง Schroder ISF Healthcare Innovation Fund

ทีนี้เราจะพาทุกท่านไปเจาะดูกันต่อว่า AB International Healthcare Fund และ Schroder ISF Healthcare Innovation Fund ว่ามีจุดเด่นอย่างไร

จุดเด่นของ
AB International Healthcare Fund

ปรัชญาการลงทุนหลักของทางกองทุน คือ เน้นลงทุนบริษัทที่มีคุณภาพสูง เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน มากกว่าบริษัทที่พึ่งพาความสำเร็จจากการทดลองยาใหม่ ๆ

หลักการคัดเลือกหุ้นของ AB International Healthcare Fund

จัดพอร์ตการลงทุนด้วยหุ้น 40-60 ตัว โดยหุ้นแต่ละตัวมีน้ำหนักในการลงทุนไม่เกิน 4% ของดัชนี โดยคัดจากดัชนี MSCI World Healthcare Index และ Russell 3000 Healthcare โดยเลือกผ่านมาตรวัดหลายอย่างโดยแบ่งเป็น

  • ๐ปัจจัยเชิงปริมาณ
  • คัดเลือกบริษัทที่มีผลตอบแทนต่อสินทรัพย์สูง ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยดูจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ความสามารถในการทำกำไร กลยุทธ์ของบริษัทในระยะยาว เป็นต้น
  • ๐ ปัจจัยเชิงคุณภาพ
  • วิเคราะห์โครงสร้างอุตสาหกรรม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท และความสามารถของทีมบริหาร มากไปกว่านั้นยังมองไปถึงอนาคตอย่างความเป็นไปได้ของบริษัทในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว

จุดเด่นของ
Schroder ISF Healthcare Innovation Fund

เน้นลงทุนใน 5 ธีม Health innovation แบบไม่จำกัดสัดส่วน ได้แก่

  • ๐ Advanced Therapies
  • หรือการรักษาโรคสมัยใหม่ที่เน้นการรักษาแบบพุ่งเป้าหรือเฉพาะบุคคลมากขึ้น โดยนวัตกรรมเหล่านี้มีเพื่อรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ที่รักษาได้ยาก อาทิ โรคมะเร็ง
  • ๐ Med Tech
  • หรือการนำเทคโนโลยีมาสร้างเป็นเครื่องมือต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยในหลากหลายรูปแบบ อาทิ หุ่นยนต์ผ่าตัด
  • ๐ Healthcare Services
  • ในปัจจุบัน ด้วยระบบข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น ผู้ให้บริการที่ช่วยให้สถานพยาบาลและผู้ป่วยมีความสะดวกสบายมากขึ้นถือเป็นผู้เล่นคนสำคัญในอุตสาหกรรม
  • ๐ Digital Healthcare
  • ปัจจุบันแพลตฟอร์มทางด้านการแพทย์ได้รับความนิยมมากขึ้น ด้วยความสามารถเก็บข้อมูลของคนไข้ไปประมวลผลได้แบบทันที โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล
  • ๐ Wellbeing
  • สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนย่อมอยากมีความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ทางกองทุนจะมองหาธุรกิจที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาทิ อุปกรณ์ที่ช่วยเหลือเรื่องการมองเห็น การฟัง ซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีที่กล่าวมาในที่นี้อาจจะหมายถึงธุรกิจที่ทำให้สุขภาพของมนุษย์ดีขึ้นอีกด้วย

หลักการคัดเลือกหุ้นของ Schroder ISF Healthcare Innovation Fund

คัดเลือกหุ้นผ่าน 3 ปัจจัยอย่าง Growth, Quality และ Valuation โดยคัดเลือกผ่านหลัก Bottom-up approach พอร์ตการลงทุนประมาณ 50-70 บริษัท จุดที่สำคัญและอยากจะเน้นย้ำคือ พอร์ตการลงทุนเป็นธีม Health Innovation ที่ 89% ของน้ำหนักหุ้นในพอร์ต มีกำไรเป็นบวก ทำให้ความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นที่ยังไม่มีกำไร

หลังจากทราบจุดเด่นของทั้งสองกองทุนกันแล้ว มาต่อที่สัดส่วนในการลงทุนกันบ้าง ว่ากองทุนนี้ลงทุนในแต่ละกองเป็นสัดส่วนเท่าไร

ตัวอย่างกลยุทธ์การปรับสัดส่วนของ PRINCIPAL GHEALTH

ทางกองทุนมีการปรับพอร์ตแบบ Dynamic โดยแบ่งเหตุการณ์ที่ไว้ใช้เป็นเกณฑ์คร่าว ๆ ในการปรับพอร์ตออกเป็น 3 สถานการณ์ เพื่อให้ยืดหยุ่นต่อสภาพตลาด ดังนี้

  • 1.Risk Off หรือช่วงปิดรับความเสี่ยง
  • ตัวอย่างเหตุการณ์ มีความไม่แน่นอนทางการเมือง, ดอกเบี้ยพุ่ง , เกิดภาวะ StagflationStgaflation
  • สัดส่วน AB International Healthcare Fund 60-70%
    สัดส่วน Schroder ISF Healthcare Innovation Fund 30-40%
  • 2.Neutral หรือช่วงปกติ
  • ตัวอย่างเหตุการณ์ ตลาดออกข้าง, รอความชัดเจนจาก Fed หรือสงคราม เป็นต้น
  • สัดส่วน AB International Healthcare Fund 50%
    สัดส่วน Schroder ISF Healthcare Innovation Fund 50%
  • 3.Risk on หรือช่วงเปิดรับความเสี่ยง
  • ตัวอย่างเหตุการณ์ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรีบาวน์, ยาได้รับการอนุมัติมากขึ้นจาก FDA, เกิดโรคระบาดใหม่, เกิดเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่
  • สัดส่วน AB International Healthcare Fund 30-40%
    สัดส่วน Schroder ISF Healthcare Innovation Fund 60-70%

ข้อดีของการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare แบบระยะยาว

  • ๐ Aging Society 
  • ค่ารักษาพยาบาลก็แปรผันตรงกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น และเมื่อจำนวนประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้น นั่นหมายถึงขนาดตลาดมหาศาลในการลงทุน
  • ๐ Healthcare Innovation
  • ชีวิตของมนุษย์ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ เราจะเห็นได้จากนวัตกรรมด้านสุขภาพใหม่ ๆ ที่ออกมาอยู่เสมอ เช่น การตรวจยีนส์เพื่อวินิจฉัยโรคตั้งแต่ยังไม่เกิด, หุ่นยนต์ผ่าตัด แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ที่มีจุดประสงค์ให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นยิ่งและยืนยาวขึ้นกว่าในอดีต
  • ๐ Cost Reduction
  • แนวโน้มต้นทุนของนวัตกรรมทางการแพทย์ลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้การเข้าถึงของคนหมู่มากหรือ Mass Adoption มีโอกาสมากกว่าเดิม

สรุปจุดเด่นกองทุน PRINCIPAL GHEALTH

ลงทุนในอุตสาหกรรม Healthcare ทั้งแบบดั้งเดิม และสมัยใหม่ ไปพร้อมกันด้วยลักษณะ Defensive Growth
ปรับพอร์ตการลงทุนแบบ Dynamic ตามสภาวะตลาดอย่างเหมาะสม มุ่งเน้นผลตอบแทนที่กลมกล่อมคุ้มกับความเสี่ยงแก่นักลงทุน
สร้างโอกาสเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไป ทั้งในเรื่องของสังคมผู้สูงอายุ นวัตกรรทางการแพทย์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และต้นทุนที่ลดลง

หรือถ้านักลงทุนท่านใดสนใจกองทุน Healthcare Innovation โดยเฉพาะ ก็สามารถลงทุน Schroder ISF Healthcare Innovation Fund ได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชัน FinVest ที่ทำให้การลงทุนกองทุนต่างประเทศ ง่ายเหมือนบินไปลงทุนถึงที่ได้เช่นกัน

กองทุนนี้ สามารถลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน FinVest ได้เลยที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/cd81c26c
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ Line https://lin.ee/3wINMDBsz
Follow us on Website: www.finvest.co.th

#FinVest #YourWingsYourWays

Related Posts