การปลูกฝังแนวคิดด้านการเงินและการลงทุนตั้งแต่เด็ก เป็นของขวัญล้ำค่าที่พ่อแม่สามารถมอบให้กับลูกได้ เพราะโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยโอกาสทางการเงิน การรู้จักวางแผนและบริหารเงินตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้ลูกมีนิสัยทางการเงินที่ดี และสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงทางการเงินได้ในอนาคต

🏡 ช่วงอายุ 7-9 ปี (ประถมต้น) – ปลูกฝังแนวคิดการออม ให้รู้จักสิ่งจำเป็นและไม่จำเป็น
ในวัยนี้ เด็ก ๆ เริ่มเข้าใจแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเงินแล้ว จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสอนให้ลูกรู้จักว่า “อะไรจำเป็น” และ “อะไรไม่จำเป็น” รวมถึงให้เริ่มต้นฝึกการออมเงิน
สิ่งที่ควรสอน:
✅ อธิบายว่าเงินมาจากไหน (พ่อแม่ต้องทำงานเพื่อให้ได้เงิน)
✅ สอนให้ลูกแยกแยะระหว่าง “ของที่อยากได้” กับ “ของที่จำเป็น”
✅ สอนให้เก็บออมเงินในกระปุกออมสิน หรือเปิดบัญชีเงินฝากเด็ก
✅ ใช้วิธีให้ค่าขนมแบบรายสัปดาห์ เพื่อให้ลูกรู้จักจัดการเงิน
📝 ตัวอย่าง:
หากลูกอยากได้ของเล่นราคาแพง ให้ลองสอนว่าเขาสามารถออมเงินจากค่าขนมทุกวันเพื่อซื้อเองได้ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกเข้าใจคุณค่าของเงินมากขึ้น
🏫 ช่วงอายุ 10-12 ปี (ประถมปลาย) – สอนให้รู้จักความคุ้มค่า และการเปรียบเทียบราคา
วัยนี้เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลและเข้าใจเรื่องตัวเลขได้ดีขึ้น จึงควรสอนให้รู้จัก “ความคุ้มค่า” โดยฝึกให้ลูกรู้จักเปรียบเทียบราคาสินค้า และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
สิ่งที่ควรสอน:
✅ วิธีเปรียบเทียบราคาสินค้า (เช่น ซื้อขนม 2 ชิ้นถูกกว่า 1 ชิ้นหรือไม่?)
✅ เข้าใจว่าของแพงไม่ได้แปลว่าดีที่สุด ต้องดู “คุณภาพที่ได้รับ”
✅ เริ่มให้ลูกมี “งบประมาณ” ของตัวเอง เช่น ให้เงินไปซื้อของขวัญวันเกิดเพื่อน แล้วให้ลูกเลือกเอง
📝 ตัวอย่าง:
พาลูกไปซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วให้เขาเลือกสินค้าระหว่างสองยี่ห้อ พร้อมให้เขาอธิบายว่า “ทำไมถึงเลือกอันนี้?” วิธีนี้ช่วยให้ลูกคิดวิเคราะห์ก่อนใช้จ่าย
📖 ช่วงอายุ 13-15 ปี (มัธยมต้น) – ฝึกทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และการวางแผนการออม
ในวัยนี้ เด็กเริ่มมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น อาจเริ่มใช้เงินซื้อของเอง หรือมีเงินจากการทำงานพิเศษ เช่น การช่วยงานบ้าน แลกกับค่าขนมเพิ่มเติม จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการสอนเรื่องการ “ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย” และการ “ตั้งเป้าหมายการออม”
สิ่งที่ควรสอน:
✅ ให้ลูกลองจดบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตัวเองทุกสัปดาห์
✅ สอนให้ตั้งเป้าหมาย เช่น ออมเงินเพื่อซื้อของที่อยากได้ หรือเพื่อทริปท่องเที่ยว
✅ แนะนำแนวคิด “รู้จักการใช้เงิน 4 ประเภท” – แบ่งเงินเป็น ออม ลงทุน ใช้จ่าย และบริจาค
📝 ตัวอย่าง:
ถ้าลูกอยากซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ ลองช่วยลูกตั้งเป้าหมาย เช่น ถ้ารองเท้าราคา 2,000 บาท และลูกออมเดือนละ 500 บาท ภายใน 4 เดือนจะซื้อได้ วิธีนี้ช่วยให้ลูกเห็นคุณค่าของการออม
💰 ช่วงอายุ 16-18 ปี (มัธยมปลาย) – สอนให้รู้จักการลงทุน และเครื่องมือทางการเงิน
วัยนี้เป็นช่วงที่เด็กเริ่มเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ และมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีการเงินมากขึ้น จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมในการเริ่มต้นสอนเรื่อง “การลงทุน” และ “เครื่องมือทางการเงิน” เช่น หุ้น กองทุนรวม หรือสินทรัพย์ดิจิทัล
สิ่งที่ควรสอน:
✅ อธิบายความแตกต่างระหว่าง “การออม” และ “การลงทุน”
✅ แนะนำแนวคิดเรื่อง “ดอกเบี้ยทบต้น” และพลังของระยะเวลาในการลงทุน
✅ สอนลูกลงทุน รู้จัก “หุ้น” ผ่านสิ่งใกล้ตัว
✅ สอนเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละประเภท
📝 ตัวอย่าง:
หากลูกชอบเทคโนโลยี ลองให้เขาศึกษาหุ้นของบริษัทเทค เช่น Apple หรือ Tesla แล้วอธิบายว่าทำไมบริษัทเหล่านี้ถึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น วิธีนี้ช่วยให้ลูกเข้าใจตลาดการเงินได้ดีขึ้น
🎯 บทสรุป
การสอนลูกให้เข้าใจเรื่องเงินและการลงทุน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แค่ปรับให้เหมาะสมกับวัยของลูก และใช้วิธีที่เข้าใจง่าย โดย เริ่มจากการออม และค่อย ๆ ขยับไปสู่การลงทุน
การสอนเรื่องการเงินไม่ใช่แค่การให้ความรู้ แต่คือการสร้าง “นิสัยทางการเงิน” ที่ดี ซึ่งจะติดตัวลูกไปตลอดชีวิต!
ลงทุนได้ผ่านแอป FinVest
ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ให้มาเริ่มตรงนี้!
เราจะมา ปูพื้นฐานการลงทุน ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงลงทุนกองทุนได้ด้วยตัวเอง โดย FinVest โดยข้างในนี้เราจะแบ่งระดับความรู้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
- Level 1 : ไม่เค๊ย ไม่เคยลงทุนมาก่อน
- Level 2 : เริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม
- Level 3 : ลงทุนในกองทุนรวมให้มั่นใจยิ่งขึ้น
สำหรับใครที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน เชื่อเถอะว่า อ่านหมดนี่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่มันจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล
*ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
#FinVest #YourWingsYourWays