8 ไอเดียจัดพอร์ตแบบ DIY ทำเองง่าย ๆ ไม่ปวดหัว โดย FinVest

8 ไอเดียจัดพอร์ตแบบ DIY ทำเองง่าย ๆ ไม่ปวดหัว โดย FinVest


อยากลงทุน อยากให้ผลตอบแทนดี แต่ความเสี่ยงต่ำ

สิ่งที่ต้องทำคือ กระจายความเสี่ยงด้วยการจัดพอร์ต

แต่คำถามถัดมาคือจัดพอร์ตยังไง ?

เรามีไอเดียการจัดพอร์ต 8 แบบด้วยกัน แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมต้องจัดพอร์ต




ทำไมต้องจัดพอร์ต


ลดความเสี่ยง : การจัดพอร์ตช่วยบริหารความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป 

เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน : สินทรัพย์แต่ละประเภทมีช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่แย่ไม่เหมือนกัน การจัดพอร์ตจะช่วยให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่สมดุลขึ้น




หลักการในการจัดพอร์ต


คำนึงถึงเป้าหมายในการออม : นักลงทุนอายุ 40 วางแผนเกษียณ กับนักลงทุนที่เพิ่งเรียนจบใหม่อายุ 22 วางแผนแต่งงานตอนอายุ 30 ย่อมมีเป้าหมายในการลงทุนต่างกัน ความเสี่ยงต่างกัน ความเร่งด่วนในการใช้เงินต่างกัน ดังนั้นก่อนจัดพอร์ตได้โปรดคำนึงถึงแผนการเงินของคุณด้วย

คำนึงถึง Correlation : สินทรัพย์เสี่ยงบ้างประเภทวิ่งตามกัน อย่างเช่น หุ้นเติบโตกับหุ้นพลังงานสะอาด ในขณะที่สินทรัพย์บางประเภทวิ่งสวนกัน เช่น ทองคำกับหุ้น แต่จุดที่ต้องพึงระลึกคือไม่มีสินทรัพย์ไหนที่ทำผลตอบแทนโดดเด่นตลอดเวลา ถ้าอยากให้ผลตอบแทน Smooth ไม่ขึ้นสุดลงสุด ไม่ควรจะมีสินทรัพย์ที่มีประเภทเดียวกันมากเกินไป




อยากลงทุน อยากให้ผลตอบแทนดี แต่ความเสี่ยงต่ำ สิ่งที่ต้องทำคือ กระจายความเสี่ยงด้วยการจัดพอร์ต แต่คำถามถัดมาคือจัดพอร์ตยังไง ?เรามีไอเดียการจัดพอร์ต 8 แบบด้วยกัน


8 ไอเดียจัดพอร์ตด้วยตัวคุณเอง


1. จัดพอร์ตแบบ 60/40

หลักการของการจัดพอร์ตแบบนี้คือการแบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็นหุ้น 60% และพันธบัตร 40% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี โดยหุ้นให้ผลตอบแทนในระยะยาว และพันธบัตรช่วยลดความผันผวน เนื่องจากสองสินทรัพย์นี้มักวิ่งคนละทางกัน

ข้อดี : เป็นกลยุทธ์ที่ทำตามได้ง่าย

จุดที่ต้องระวัง : ถ้าช่วงที่ผลตอบแทนของทั้งสองสินทรัพย์วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การกระจายความเสี่ยงลดลง

ตัวอย่างการลงทุน : 

  • 40% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก
  • 60% ลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้นโลก




2. จัดพอร์ตแบบ Core-Satellite

หลักการของ Core-Satellite ถ้าให้พูดง่าย ๆ คือการแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Port) ไปคว้าโอกาสในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งพอร์ตการลงทุนที่แยกออกมานี้เราจะเรียกมันว่าพอร์ตการลงทุนเสริม (Satellite Port)

ข้อดี : สามารถคว้าโอกาสเติบโตที่สูงขึ้นไปพร้อมกับไม่ทำให้พอร์ตมีความเสี่ยงมากจนเกินไป 

จุดที่ต้องระวัง : ถ้า Core Port เสี่ยงมากเกินไป อาจทำให้ผลตอบแทนผันผวนได้

ตัวอย่างการลงทุน : 

  • Core Port 80% ลงทุนในกองทุนหุ้นโลก 60% ตราสารหนี้ทั่วโลก 20%
  • Satellite Port 20% ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี 10% หุ้นอินเดีย 10%




3. พอร์ตแบบเน้นกระแสเงินสด (Income-Focused Portfolio)

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดมาช่วยใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การจัดพอร์ตแบบ Income Focus คือคำตอบ

เพราะการจัดพอร์ตแบบนี้จะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้รายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ เช่น หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล พันธบัตร หรือรีท

ข้อดี : ได้รับรายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ โดยพอร์ตไม่ผันผวนมากจนเกินไป

จุดที่ต้องระวัง : พอร์ตอาจจะจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แต่การเติบโตอาจจะต่ำ

ตัวอย่างการลงทุน : 

  • 50% ลงทุนในกองทุนหุ้นปันผลสูง 
  • 30% ลงทุนในกองทุนรีท 
  • 20% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้




4. จัดพอร์ตแบบเท่า ๆ กัน หรือ 1/n (Naive Diversification)

แนวคิดการจัดพอร์ตแบบนี้คือจัดพอร์ตแบบแบ่งเงินเท่า ๆ กัน ไม่ต้องคิดมาก เพื่อกระจายความเสี่ยง ลดความซับซ้อนลง

ข้อดี : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงโดยไม่ต้องการการวิเคราะห์มาก

จุดที่ต้องระวัง : อาจสูญเสียการโฟกัสถ้ากระจายการลงทุนมากไป เช่น แบ่ง 20 กองทุน หรืออาจขาดทุนหนักถ้ากระจายพอร์ตแล้วแต่ยังกระจุกอยู่ในสินทรัพย์กลุ่มเดียวกัน เช่นแบ่งเงินเป็น 10 กอง แต่ซื้อกองทุนหุ้นหมดเลย เป็นต้น

ตัวอย่างการลงทุน : 

  • 25% กองทุนหุ้น 
  • 25% กองทุนตราสารหนี้
  • 25% กองทุนทองคำ 
  • 25% กองทุนโครงสร้างพื้นฐานฯ 




5. จัดพอร์ตแบบ Target-Date Fund หรือ กองทุนตามอายุเป้าหมาย

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการวางแผนเกษียณ อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนอายุยังน้อย ๆ เรายังรับความเสี่ยงได้มากอยู่ ในขณะที่พอเราอายุเยอะขึ้น เราจะรับความเสี่ยงได้น้อยลง ปัญหาที่ตามมาคือ จะเลือกกองทุนยังไงให้เหมาะกับช่วงอายุเรา? 

กองทุน Target Date เลยออกแบบมาเพื่อการนี้ ปรับสัดส่วนการลงทุนโดยอัตโนมัติตามอายุเป้าหมายของนักลงทุน ยิ่งใกล้ถึงวันเป้าหมาย พอร์ตจะยิ่งลดความเสี่ยงลงเอง

ข้อดี : ไม่ต้องปรับพอร์ตเอง เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการจัดพอร์ตตามเป้าหมาย เช่น เกษียณอายุ 

จุดที่ต้องระวัง : เรี่องความเสี่ยงตามอายุนั้น ในทางทฤษฏีคำนวณมาจากอายุเกษียณ 60 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะเกษียณตอน 60 บางคนตอนอายุ 60 อาจมีธุรกิจส่วนตัว รับความเสี่ยงได้มากกว่าคนอายุ 60 ที่ว่างงานเลย ในขณะที่บางคนอาจหวังเกษียณตอน 40 ดังนั้นโปรดตรวจสอบแผนการเงินของตัวเองให้ดีก่อน

ตัวอย่างการลงทุน : ถ้าจะเกษียณตอนปี 2050 ให้หากองทุนที่ Target Date คือมีเป้าหมายปี 2050 ที่เหลือผู้จัดการกองทุนจะจัดการเอง




6. จัดพอร์ตแบบ Risk Parity

แนวคิดการจัดพอร์ตที่พบได้บ่อย คือ การใช้ผลตอบแทนที่น่าจะทำได้เป็นจุดเริ่มต้น  

แต่แนวคิดการจัดพอร์ตแบบ Risk Parity จะต่างออกไป เพราะจะเป็นการจัดพอร์ตให้เกิดการกระจายความเสี่ยงที่สมดุลที่สุด

แต่ปัญหาที่ตามมาคือกระบวนการจัดพอร์ตจะค่อนข้างซับซ้อน เพราะสัดส่วนจะไม่ได้ถูกระบุตายตัวให้เห็นชัดอย่าง กองทุนรวมหุ้น 60% กองทุนรวมตราสารหนี้ 40% แต่จะเกิดจากการคำนวณหลายปัจจัย เช่นค่า Correlation Max Drawdown Volatility และความเสี่ยงเฉพาะตัวของสินทรัพย์

ข้อดี : การจัดพอร์ตแบบนี้เน้นการควบคุมความเสี่ยงเป็นหลัก

จุดที่ต้องระวัง : การจัดพอร์ตแบบนี้มีความซับซ้อนสูง และปฏิบัติจริงลำบาก

ตัวอย่างการลงทุน : 

ตัวอย่างการจัดพอร์ตโดยถ่วงน้ำหนักโดยใช้ค่า Max Drawdown*

  • กองทุน A : Max Drawdown = 20%
  • กองทุน B : Max Drawdown = 10%

สัดส่วนจากความเสี่ยง :

  • กองทุน A : 20%/30% = 67%
  • กองทุน B : 10%/30% = 33%

สัดส่วนพอร์ตที่ควรแบ่ง :

  • กองทุน A : 1-67% = 33%
  • กองทุน B : 1-33% = 67%

หมายเหตุ : ของจริงไม่ได้ง่ายแบบนี้




7. จัดพอร์ตตามเป้าหมายทางการเงิน (Goals-Based Investing)

การจัดพอร์ตแบบนี้คือการตั้งเอาตามเป้าหมายทางการเงิน เช่น การดาวน์ซื้อบ้าน การศึกษา หรือการเกษียณ เป็นหลัก 

ทีนี้พอแต่ละเป้าหมายจะมีการจัดพอร์ตที่แตกต่างกันไปตามระยะเวลาการลงทุนและความเสี่ยงที่รับได้

โดยนักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตที่มีระดับความเสี่ยงตามเป้าหมายเฉพาะได้ เช่น พอร์ตการเกษียณ มีเวลาลงทุนเหลือเยอะ อาจมีความเสี่ยงสูง

ข้อดี : แบ่งพอร์ตได้ชัดเจนตามเป้าหมายทางการเงิน พูดง่าย ๆ เหมือนแยกกระปุกออมเงินสำหรับใช้จ่ายต่าง ๆ

จุดที่ต้องระวัง : การมีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน

ตัวอย่างการลงทุน : 

  • พอร์ตเป้าหมายระยะยาว: ลงทุนเน้นกองทุนหุ้นหุุ้น
  • พอร์ตเป้าหมายระยะสั้น: ลงทุนเน้นกองทุนตราสารหนี้อายุเฉลี่ยไม่สูง




8. จัดพอร์ต All-Weather

แนวคิด All-Weather คือพอร์ตที่สามารถรับมือกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนตามเงื่อนไขของตลาด

โดยการจัดพอร์ตนั้นจะใช้วัฏจักรเศรษฐกิจในการจัดพอร์ต

  • เศรษฐกิจถดถอย : ตราสารหนี้ หุ้น Defensive
  • เศรษฐกิจเติบโต : หุ้น
  • เงินเฟ้อ : ทองคำ ตราสารหนี้แบบชดเชยเงินเฟ้อ สินค้าโภคภัณฑ์ รีท
  • เงินฝืด : ตราสารหนี้

ข้อดี : ใช้การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในทุกช่วงเวลา

จุดที่ต้องระวัง : ต้องคอยปรับพอร์ตตลอดเวลา ต้องอาศัยความสามารถสูง และต้อง Monitor ตลาด

ตัวอย่างการลงทุน :

ตัวอย่างการจัดพอร์ตช่วงเงินเฟ้อ

  • กองทุนทองคำ 10%
  • กองทุนหุ้น Defensive 50% 
  • กองทุนตราสารหนี้แบบชดเชยเงินเฟ้อ  20% 
  • กองทุนรีท 10%
  • กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ 10%




*ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน


#FinVest #YourWingsYourWays

Related Posts