ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สายตาทุกคู่บนโลกใบนี้ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศจีน ที่พัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแพลตฟอร์มจนแข็งแกร่งทัดเทียมกับโลกตะวันตก ถ้าฝั่งตะวันตกมี Search Engine ขั้นเทพอย่าง Google ฝั่งจีนเองก็มี Baidu , ถ้า Amazon เป็น Commerce ยักษ์ใหญ่ จีนเองก็มี Alibaba เช่นกัน
ด้วยการตีคู่แข่งขันกับโลกตะวันตกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปัจจุบัน จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้มาถึงจุดนี้ได้คงหนีไม่พ้น จำนวนประชากรจีนและการบริโภคอินเทอร์เน็ตที่มหาศาล
แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมานั้นยังมีจุดอ่อน
เนื่องจากเป็นการเติบโตที่เกิดจากธุรกิจแพลตฟอร์มที่ส่วนใหญ่เป็น Soft Tech
แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจที่เป็นอุตสาหกรรมหนักของจีนอย่าง Hard Tech
ยังถือว่าพัฒนาช้ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสหรัฐ
ภาพที่เคยคุ้นตาของจีนคือโรงงานของโลกในการผลิตสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะในการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ แต่บทบาทของประเทศจีนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนที่ตั้งธงไว้ว่าปี 2035 จะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของโลก จึงช่างน่าคิดเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกข้างหน้าที่จะต้องพึ่งพาการขับเคลื่อนและอิทธิพลจีนมากกว่าที่เคยเป็น
จีนกำลังเปลี่ยนจาก Soft Tech ไป Hard Tech
จุดอ่อนหนึ่งที่ประเทศจีนยังมีอยู่คือการต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Hard Tech จากต่างชาติอยู่ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น Hard Tech หรืออีกชื่อที่เรียกว่า Deep Tech นั้นยกตัวอย่างได้เช่น เทคโนโลยีในการผลิต Semiconductor , เทคโนโลยีควอนตัม หรือการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์เป็นต้น ในขณะที่ Soft Tech ซึ่งปัจจุบันเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมจีนขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น ฟินเทค , เทคโนโลยี Cloud , E-commerce
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้แผนยุทธศาสตร์ชาติจีนได้มุ่งเป้าไปที่การระดมทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน Hard Tech มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของแดนมังกรให้มากขึ้นอีกด้วย ตัวเลขที่สนับสนุนการลงทุนที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ครั้งนี้ยกตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัพในอุตสาหกรรม Semiconductor ในจีน ได้เงินลงทุนราว ๆ 8,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ฝั่งเทคโนโลยีชีวภาพเองก็มีเงินลงทุนไหลเข้าไปสูงถึง 14,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวสูงขึ้นจากปี ค.ศ. 2016 ถึง 10 เท่าตัว แสดงให้เห็นถึงเงินลงทุนที่ทางภาครัฐถ่ายโอนจากฝั่ง Soft Tech มายัง Hard Tech มากยิ่งขึ้น
เม็ดเงินในการลงทุนมหาศาล ปัจจุบันกำลังเริ่มผลิดอกออกผล
ตัวอย่างเช่นเทคโนโลยี ควอนตัมที่ปัจจุบัน Quantum Computer
เครื่องใหญ่ที่สุดและไวที่สุดขนาด 56 Cubit ชื่อ Zu Chongzhi 2.0 อยู่ในจีน
นำหน้าทางฝั่งสหรัฐที่สร้างโดย Google ที่มีขนาดเพียงแค่ 53 Cubit
จีนผลักดันสตาร์ทอัพ ทำให้ปัจจุบันสตาร์ทอัพระดับ Unicorn จำนวนเป็นรองแค่สหรัฐฯ
ขณะที่ฝั่งธุรกิจ Start Up เอง ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีสตาร์ทอัพระดับ Unicorn (ขนาดมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) จำนวนเป็นรองแค่เพียงประเทศเดียวคือ สหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น เมืองที่เป็นศูนย์กลางการคิดค้นนวัตกรรมในจีน กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศจีน เช่น ปักกิ่ง , เซี่ยงไฮ้ , เฉิงตู และ เซิ่นเจิ้น ต่างจากสหรัฐที่ส่วนมากมาจากซานฟรานซิสโก หรือ Silicon Valley
นอกจากนี้ ปริมาณเม็ดเงินที่จีนทุ่มทุนสนับสนุนการทำวิจัย มีขนาดใกล้แซงสหรัฐฯ แล้วในปัจจุบัน โดยยังส่งเสริมเพิ่มเติมผ่านมาตรการ เช่น ทางภาษีสนับสนุนการทำวิจัย ในบางกลุ่มธุรกิจ โดยการลดอัตราภาษีลงจาก ระดับ 25% มาเหลือ 15% รวมถึงผ่อนคลายเกณฑ์การเดินทางเข้า-ออกประเทศ เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมจากต่างประเทศให้มาเริ่มธุรกิจและลงทุนในประเทศจีน
ในเมื่อจีนมีเทคโนโลยีดี ๆ มากมาย แล้วแบบนี้ไปซื้อขายกันที่ไหน
จากที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่าขนาดของตลาดเทคโนโลยีจีนนั้นคงมีขนาดใหญ่โตเป็นแน่ แต่แท้จริงแล้วขนาดบริษัทจดทะเบียนในจีนนั้นเรียกได้ว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างยาวนานอย่างตลาด Nasdaq ถ้าผู้นำแห่งโลกตะวันตกอย่างสหรัฐมีตลาดที่ไว้รองรับหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Nasdaq มีหรือที่จีนจะไม่มีตลาดที่ไว้ซื้อขายหุ้นเทค ?
มาถึงตรงนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับตลาด SSE STAR Market กัน
รู้จักกับ SSE STAR Market ที่เปรียบเสมือนตลาด China Nasdaq
ตลาด SSE STAR Market เป็นตลาดทุนที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2019 เพื่อรองรับการแผนยุทธศาสตร์ชาติและต่อยอดภาคเศรษฐกิจจริง โดยเริ่มแรกนั้นมีบริษัทจดทะเบียนเพียงแค่ 25 บริษัท แต่ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ในปี 2020-2021 ที่ผ่านมา บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 387 บริษัท ซึ่งในตอนนี้ขนาดของตลาดหลักทรัพย์ STAR มีขนาดเล็กกว่าตลาดหลักทรัพย์ SHANGHAI STOCK EXCHANGE หรือ SSE ราว ๆ 22 เท่า ซึ่งหมายถึงขนาดตลาดที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ซึ่งหากมองหาหุ้นเทคโนโลยีผ่านดัชนีเสมือน China Nasdaq
จะเห็นว่าดัชนีประกอบไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ
ซึ่งตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติจีนในการเป็นผู้นำโลก
จากข้อมูลในอดีตที่ทาง KraneShares ได้ทำการศึกษามา พบว่าตลาดหลักทรัพย์ที่มีแต่หุ้นเทคโนโลยีอย่าง Nasdaq นั้น มูลค่ารวมของตลาดหุ้นสามารถเติบโตได้มากถึง 136 เท่าในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ดัชนีตลาดรวมอย่าง NYSE กลับมีมูลค่ารวมของตลาดที่เติบโตได้เพียงแค่ 26 เท่า ในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจของตลาด SSE STAR คือ ปริมาณเงินที่เข้ามาระดมทุนในตลาดรองแห่งนี้ที่สูงมาก โดยในปี 2020 จำนวนเงิน 47% ของตลาดหุ้น A-Share ได้เข้ามาที่ตลาด SSE STAR แห่งนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากเลยทีเดียว
ธุรกิจหลัก ๆ ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นี้ ได้แก่
- – New Generation IT กลุ่มธุรกิจ IT ยุคใหม่
- – High-end Equipment Manufacturing อุปกรณ์ที่สนับสนุนเทคโนโลยีการผลิตรูปแบบใหม่ที่เน้นคุณภาพ
- – New Materials วัสดุชนิดใหม่ ๆ
- – New Energy การบริโภคพลังงานรูปแบบใหม่ ๆ
- – Energy Conservation & Environmental Protection ธุรกิจพลังงานสะอาดและปกป้องสิ่งแวดล้อม
- – Biomedicine ผลิตภัณฑ์ตัวยาต่างๆที่ผลิตจากชีวภาพ
ซึ่งทุกธีมที่กล่าวมาจะต้องถูกรองรับและผนวกรวมด้วยเทคโนโลยีอย่างน้อย 1 ใน 5 อย่างดังนี้
- – Artificial Intelligent การผนวกร่วมด้วยของปัญญาประดิษฐ์
- – High-Tech Manufaturing การผลิตที่เน้นคุณภาพด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง
- – Cloud Computing การให้บริการระบบช่วยเหลือต่าง ๆ ผ่านทางผู้ให้บริการในอินเทอร์เน็ต
- – Big Data กลุ่มฐานข้อมูลขนาดใหญ่
- – Internet การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
นอกจากตลาด STAR Market แล้ว
ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ยังมีดัชนี STAR 50
ที่ไว้สะท้อนถึงบริษัทนวัตกรรมที่แข็งแกร่งที่สุด 50 บริษัทแรกในตลาดแห่งนี้
โดยทาง Goldman Sach คาดการณ์การเติบโตของดัชนี STAR50 จาก 40 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ไปเป็น 800 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2025
เหมือนเช่นเคย
ถ้าอยากลงทุนใน STAR 50 ทาง
FinVest เองก็พร้อมที่จะเสิร์ฟช่องทางดี ๆ ให้เพื่อน ๆ นักลงทุน
TMB-ES-STARTECH
กองทุน TMB-ES-STARTECH
ลงทุนในกองทุน KraneShares SSE STAR Market 50 Index ETF เพียงกองทุนเดียว ซึ่ง KraneShares SSE STAR Market 50 Index ETF เน้นการลงทุนในบริษัทจีนที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีและด้านที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี STAR50 Index
ทั้งนี้ KraneShares บริษัทจัดการกองทุนสัญชาติสหรัฐเป็นกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการออกกองทุน ETF ปัจจุบัน KraneShares มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการอยู่มากกว่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกว่า 75-80% เป็นหุ้นจีน
แนวทางการคัดเลือกหุ้นเข้ากองทุน
- – หลักทรัพย์ที่กองทุนหลักคัดเลือกเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเฉลี่ยสูงสุด 50 อันดับแรกเข้ามา
- – น้ำหนักต่อหุ้นแต่ละตัวไม่เกิน10% โดย 5 ตัวแรกรวมกันไม่เกิน 40%
- – รองรับบริษัทที่จดทะเบียนและดำเนินธุรกิจนอกประเทศจีน
- – กองทุนจะไม่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่โดนคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
เกณฑ์ในการพิจารณาบริษัทเข้า STAR Market Board
สำหรับเกณฑ์ในการพิจารณานั้นมีอยู่ 5 ข้อด้วยกันขอเพียงแค่ผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งก็สามารถขอยื่นเรื่องพิจารณานำบริษัทเข้าสู่ตลาดได้ทันที โดยเกณฑ์ต่างๆ มีดังนี้
- – พิจารณาจากรายได้สุทธิของบริษัท
- – พิจารณาจากรายได้ในส่วน R&D ของบริษัท
- – พิจารณาจากกระแสเงินสดของบริษัท
- – พิจารณาจากรายรับของบริษัท
- – กรณีพิเศษ อาทิ ขนาดตลาดสำหรับสินค้าและบริการใหญ่มหาศาล การเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง
สัดส่วนการลงทุนเน้นไปที่กลุ่ม IT อาทิ กลุ่ม semiconductor
KraneShares ได้มองว่ากลุ่ม Semiconductor ในจีนมีความน่าสนใจเนื่องจากทางรัฐบาลได้ทำการตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์เป็นมูลค่าถึง 2.89 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการก้าวตามสหรัฐ และยังตั้งเป้าหมายผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพื่อใช้ในประเทศให้ถึง 70% ภายในปี 2025 ทดแทนยอดการนำเข้าทั้งหมดภายในปี 2030 นอกจากนี้ยังงดเว้นภาษีธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์เป็นเวลา 10 ปี ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา
ตัวอย่างหุ้น
- – Kingsoft
- ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Anti-Virus รวมถึงให้บริการ Cloud computer และ system integration หรือการนำระบบอัตโนมัติเข้าไปช่วยเหลือลูกค้า
- – Raytron Technologies
- บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผนวงจร , เซนเซอร์ที่ใช้ตรวจจับความร้อน และเซนเซอร์สำหรับความปลอดภัยเป็นต้น
- – Ningbo Ronbay
- ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม เช่น ลิเทียมนิเกิลโคบอลท์แมกนีเซียมออกไซด์ โดยจัดจำหน่ายทั่วประเทศ
- – China Resource Microelectronics
- บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Semiconductor
สรุปจุดเด่นกองทุน
- – ลงทุนในดัชนี STAR 50 เปรียบเสมือน China Nasdaq บริษัทจีนที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีและด้านที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
- – ลงทุนในตลาดทุนที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้มีมาเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ชาติที่จะเป็นผู้นำโลก
- – กองทุนไม่ลงทุนในบริษัทที่มีการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกล่าวไว้เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้วว่า
“ปล่อยให้จีนหลับใหลเถิด
เพราะถ้าเกิดจีนตื่น จีนจะเขย่าโลก”
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ถ้าการพัฒนาทางด้าน Hard Tech ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี สิ่งนี้คงไม่ต่างกับการที่ชนชาติจีนตื่นเต็มสองตา ถ้านักลงทุนอยากเขย่าโลกไปพร้อมกันกับการตื่นครั้งนี้ก็อย่าได้รอช้า ทาง FinVest เองก็ขอฝาก TMB-ES-STARTECH เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักลงทุนทุกท่านด้วย
กองทุนทั้งหมดนี้ สามารถลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน FinVest ได้เลยที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/cd81c26c
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ Line https://lin.ee/3wINMDBsz
Follow us on Website: www.finvest.co.th
#FinVest #YourWingsYourWays
_______________________________________________
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.tmbameastspring.com/china_star50/
https://news.cgtn.com/news/2021-09-23/How-China-reshaped-its-tech-industry–13MX5n0YmDS/index.html
http://star.sse.com.cn/en/gettingstarted/overview/
https://www.truemoney.com/a/startinvest-principal-chtech-mutual-fund/
https://www.blockdit.com/posts/61e5871286dccd6ff3737e0b
http://english.sse.com.cn/start/listing/overview/
https://spectrum.ieee.org/quantum-computing-china