โลกร้อน น้ำมันแพง เปลี่ยนแปลงได้ด้วย Smart Energy กับกองทุน KWI Senergy เชื่อว่าทุกคนได้เห็นผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานขึ้นสูงสุดในรอบหลายสิบปีกันด้วยสายตาตัวเองแน่ ๆ ซึ่งสาเหตุที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขนาดนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนในการผลิตน้ำมันสูงขึ้น ซ้ำร้ายปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ยังเป็นตัวเร่งให้ราคาพลังงานให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก การที่ชาติตะวันตกพากันคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งผลให้พลังงานเชื้อเพลิง อย่างน้ำมัน จากทางประเทศรัสเซีย ที่เป็นต้นทาง ไม่สามารถส่งออกไปยังจุดหมายปลายทางสำคัญ อย่างกลุ่มประเทศในยุโรปได้ แน่นอนเมื่อความต้องการใช้งานนั้นมีมากกว่ากำลังการผลิต ราคาน้ำมันก็ถีบตัวพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งผลกระทบจากการขาดแคลนพลังงาน ที่ลุกลามไปในวงกว้างนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวจึงเปรียบเหมือน“ตัวเร่ง” ที่ทำให้หลายๆ ประเทศ หันมาสนใจในเรื่องของ Smart Energy หรือระบบพลังงานแห่งโลกอนาคต ที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นทางออกของปัญหานี้มากขึ้น แต่ปัญหาเรื่องของพลังงานนั้น นอกจากมิติทางด้านราคา มิติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างภาวะโลกร้อน ก็เป็นอีกมุมหนึ่ง ที่ปัจจุบันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน  ...

มังกรจีนผู้ยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2000 ที่ผ่านมา หรือราว ๆ 20 ปีที่แล้ว จีนมีอัตราเติบโตเฉลี่ยทบต้นของ GDP อยู่ที่ 13.3% ต่อปี และรายได้ต่อหัวเติบโตก้าวกระโดดจาก 9371 หยวนต่อปี (ราว ๆ 5 หมื่นบาท) ในปี 2000 ทะยานสู่ 97400 หยวนในปี 2020 หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 5 แสนบาทต่อปี (ข้อมูลจาก tradingeconomics และ macrotrends) เรื่องนี้ส่งผลให้ประเทศจีนตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้ตอนนี้จีนเองก็พร้อมขึ้นมาท้าทายมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย ปัจจัยบวกเหล่านี้...

ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าตลาดผันผวนเป็นพิเศษ ด้วยปัจจัยลบต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาทั้งยอดจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ในจีนที่สูงขึ้นจนทางการสั่งปิดเมืองเซิ่นเจิ้น สร้างความกังวลให้นักลงทุนจนส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนติดลบอย่างหนัก หรือจะเป็นสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ที่ผลักดันราคาน้ำมันและเงินเฟ้อขึ้นสูงจนระบบการเงินทั่วโลกถึงกับปั่นป่วน และประเด็นสุดท้ายที่ยังค้างคาและคลุมเครือคงหนีไม่พ้นการประชุม Fed ซึ่งถ้าออกมาในโทนลบ นั่นอาจจะเป็นดาบสุดท้ายที่แทงซ้ำไม่ให้ตลาดหุ้นได้ฟื้นตัวไปอีกพักใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเต็มไปด้วยความผันผวนและความคลุมเครือ แต่ทางเราเองก็ยังทำงานกันอย่างหนักเพื่อคัดสรรกองทุนที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดให้นักลงทุนทุกท่านเหมือนเช่นเคย ในตอนก่อนหน้า เราได้พูดถึงประเด็นที่ว่า ไม่มีสินทรัพย์ใดที่เป็นพระเอกตลอดกาล อ่านต่อได้ที่  Finvest.co.th/5globalallocation22/ และทางออกของปัญหาที่ว่าถ้าให้สรุปสั้น ๆ คงหนีไม่พ้นการกระจายการลงทุน เราจึงมุ่งค้นคว้ากองทุนในธีมกระจายการลงทุน จนกระทั่งค้นพบกองทุนกองหนึ่งซึ่ง IPO มาตั้งแต่ปี 1997 ซึ่งถือได้ว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤต และยิ่งไปกว่านั้น กองที่กล่าวมายังทำผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกด้วย เอาเป็นว่า กองทุนที่ว่าจะเป็นกองทุนไหนนั้น มาดูกัน FinVest แนะนำ BGF Global Allocation Fund...

“ไม่มีสินทรัพย์ใดเป็นพระเอกได้ตลอดกาล” กระจายการลงทุนคือทางออก         การอุบัติขึ้นของโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2019 และน่าจะยังคงอยู่กับเราไปอีกยาวๆ ก่อให้เกิดรูปแบบการใช้วิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal)  ที่แตกต่างไปจากเดิมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์  ทำงานจากที่บ้าน ท่องเที่ยวแบบเสมือนจริง  หรือแม้แต่ช็อปปิ้งในรูปแบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น        ซึ่งในโลกของการลงทุน ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ที่มีนักลงทุนหน้าใหม่ๆ หลั่งไหลกันมาเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายลงทุนเป็นจำนวนมากในสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นบัญชีซื้อขายหุ้น  กองทุนรวม  หรือสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ๆ อย่างสินทรัพย์ดิจิตอล เกิดขึ้นอย่างมากมาย   ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายให้เราได้ตลอดกาล          ในบางปี บางสินทรัพย์ในกองทุนรวมของเรา อาจจะสร้างผลตอบแทนที่สูงมากให้เราได้ ขณะที่บางสินทรัพย์อาจสร้างผลตอบแทนได้ไม่ดีเท่าที่ควรหรือบางสินทรัพย์อาจให้ผลตอบแทนที่ติดลบ  ดังนั้นสำหรับการลงทุนแล้ว  จึงเป็นความเสี่ยงมากจนเกินไปที่เราจะทุ่มเงินในการลงทุนหมดหน้าตักไปกับการลงทุนในกองทุนรวมที่มีการกระจุกตัวอยู่ในธีมการลงทุนเพียงประเภทเดียว          เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น  ขอยกตัวอย่าง หนึ่งในธีมการลงทุนสุดฮอตฮิตในช่วงที่ผ่านมาได้ไม่นาน  อย่างกลุ่มกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีน  ซึ่งเคยเป็นพระเอกในช่วงโควิด-19  ที่เคยทำผลตอบแทนได้กว่า 100% ในช่วงกลางปี 2020 จนถึงต้นปี...

FinVest ชวนเปิดประตูสู่การลงทุนที่น่าสนใจในเวียดนามไปกับ SCBVIET เวียดนาม หนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวมากที่สุดในโลก และเศรษฐกิจยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยรัฐบาลเวียดนามได้ตั้งเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 7 ต่อปี ระหว่างปี 2021-2025 ผ่านการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล และตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2045   จังหวะการลงทุนที่ใช่ พร้อมก้าวไปกับเศรษฐกิจเวียดนาม เศรษฐกิจเวียดนามอยู่ในช่วงที่กำลังขยายตัว โดยมีปัจจัยหลักต่างๆ ดังนี้ เศรษฐกิจ เป็นหนึ่งในประเทศที่ขยายตัวมากที่สุดในโลก แนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังเติบโตได้อีกมากจากโครงสร้างทางประชากรและสังคม โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเวียดนามจะเติบโตร้อยละ 5.5 ในปี 2565 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ร้อยละ 5.2 และจะเติบโตร้อยละ 6.5 ในปี 2566 สูงกว่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ร้อยละ 4.9 อีกด้วย อุตสาหกรรม สัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเวียดนามเติบโตได้ดีขึ้นต่อเนื่องจากระดับร้อยละ15.8...